ประวัติมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ก่อตั้งเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2477 ชื่อมหาวิทยาลัยแรกเริ่ม คือ “มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง” (มธก.) จากแนวคิดของศาสตราจารย์ ดร.ปรีดี พนมยงค์ ที่ต้องการจัดตั้งมหาวิทยาลัยที่เน้นการเรียนการสอนเรื่องประชาธิปไตย เพื่อให้การศึกษา และสร้างความเข้าใจในระบอบการปกครองใหม่ที่เพิ่งถือกำเนิดขึ้นก่อนหน้านี้เพียง 2 ปีแก่พลเมืองจำนวนมากผู้อยู่ในภาวะกระหายใคร่รู้
ดั่งปรัชญาของการตั้งมหาวิทยาลัย ที่ปรากฏตามสุนทรพจน์ ของศาสตราจารย์ ดร.ปรีดี พนมยงค์ ที่รายงานต่อผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ดังนี้
“...มหาวิทยาลัยย่อมอุปมา ประดุจบ่อน้ำ บำบัดความกระหายของราษฎร ผู้สมัครแสวงหาความรู้ อันเป็นสิทธิและโอกาส ที่เขาควรมีควรได้ ตามหลักเสรีภาพของการศึกษา...”
ด้วยเหตุนี้มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองจึงมีลักษณะเป็นตลาดวิชา โดยเปิดกว้างแก่ผู้สำเร็จประโยคมัธยมศึกษาและผู้ที่ทำงานแล้วเข้าเรียนโดยไม่มีการสอบเข้า เก็บค่าเล่าเรียนในอัตราต่ำ จัดพิมพ์คำสอนจำหน่ายในราคาถูก ไม่บังคับให้นักศึกษาต้องมาฟังคำบรรยาย เพียงแต่มาสอบตามกำหนดเวลา นับเป็นมหาวิทยาลัยเปิดแห่งแรกของประเทศไทย ปรากฏว่า ในปีแรกมีผู้สมัครเข้าศึกษาถึง 7,094 คน ส่วนใหญ่ประกอบด้วยบุตรชายหญิงจากชนชั้นที่ไม่ได้ร่ำรวย รวมทั้งชนชั้นกลางที่มีความหลากหลายทางอาชีพ วิชาที่เปิดสอนมี 2 แขนงคือ หลักสูตรธรรมศาสตรบัณฑิตและวิชาการบัญชี
จากการรัฐประหารเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2490 ทำให้มหาวิทยาลัยได้รับผลกระทบอย่างมาก ผู้ประศาสน์การ ศาสตราจารย์ ดร.ปรีดี พนมยงค์ ต้องลี้ภัยการเมืองไปอยู่ต่างประเทศ ชื่อมหาวิทยาลัยถูกตัดคำว่า “การเมือง” ออก เปลี่ยนเป็น “มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์” หลักสูตรการศึกษาธรรมศาสตรบัณฑิตเปลี่ยนแปลงไป กลายเป็นการจัดการเรียนการสอนแยกออกเป็น 4 คณะ คือ นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ พาณิชยศาสตร์และการบัญชี ความเป็นตลาดวิชาหมดไป ตามพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัย พ.ศ. 2495 แต่ละคณะมีปริญญาบัตรในชั้นปริญญาตรีตามสาขาของตนเอง ไม่เป็นปริญญาบัตรกลางชื่อ “ธรรมศาสตร์บัณฑิต” อีกต่อไป
ช่วงปี 2516 ถือเป็นยุคสมัยแห่งการต่อสู้ทางอุดมการณ์ทางการเมืองการปกครองไทย ซึ่งก่อตัวขึ้นอย่างชัดเจนหลังเหตุการณ์วันวิปโยค 14 ตุลาคม 2516 ในขณะนั้นศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ดำรงตำแหน่งอธิการบดีของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หลังจากเหตุการณ์วันวิปโยคปะทุขึ้น พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรีบริหารประเทศในยามคับขัน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มีบทบาทสำคัญในเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ครั้งนี้ที่ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทางการเมืองไทยยุคใหม่ในเวลาต่อมา
ในปี 2518 ศาสตราจารย์ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เป็นอธิการบดี ท่านเห็นว่าควรที่จะขยายการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ ในชั้นปริญญาตรีเพิ่มขึ้น ทั้งนี้เพราะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีส่วนสำคัญในการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาสังคม เช่นเดียวกับหลักสูตรทางสังคมศาสตร์ที่มีอยู่เดิม พื้นที่ธรรมศาสตร์ท่าพระจันทร์ ซึ่งมีเนื้อที่อยู่ประมาณ 49 ไร่ ไม่เพียงพอต่อการขยายตัวทางวิชาการและการพัฒนา มหาวิทยาลัยจึงเจรจาขอใช้ที่ดินนิคมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม เนื้อที่ประมาณ 2,430 ไร่ ที่รังสิต เพื่อสนองรับการขยายตัวของมหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จึงขยายออกไปที่รังสิต เรียกว่า มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ซึ่งพัฒนาเจริญก้าวหน้ามาจนถึงปัจจุบัน
ในปี 2537 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้พิจารณาว่า มีความเหมาะสมที่จะนำพื้นที่บริเวณริมถนนสายชลบุรี-ระยอง ตำบลโป่ง อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรีมาใช้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์พัทยา เพื่อพัฒนาการจัดการเรียนการสอน การวิจัยและพัฒนาในด้านเทคโนโลยีที่เชื่อมโยงกับการพัฒนาอุตสาหกรรม เนื่องจากการวิจัยและพัฒนาที่จะได้ผลนั้น จำเป็นต้องมีปฏิสัมพันธ์กับการปฏิบัติการจริงอย่างใกล้ชิดกับอุตสาหกรรม ทางบริเวณจังหวัดชลบุรีมีความเหมาะสมเนื่องจากเป็นที่ตั้งของอุตสาหกรรมจำนวนมาก
เมื่อมหาวิทยาลัยมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการแบ่งส่วนราชการสำนักงานอธิการบดี ตามมติสภามหาวิทยาลัยเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2547 จึงให้มีการจัดตั้งงานบริหารศูนย์พัทยา สำนักงานประสานศูนย์การศึกษาภูมิภาคขึ้น การก่อตั้งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์พัทยา นับเป็นการขยายโอกาสทางการศึกษาแก่ทางภูมิภาคตะวันออก สามารถสนองตอบความต้องการของชุมชนได้อย่างแท้จริง โดยปัจจุบันมีการเรียนการสอนในระดับปริญญาตรี คณะวิศวกรรมศาสตร์ 2 หลักสูตร คือ สาขาวิศวกรรมยานยนต์ และสาขาวิศวกรรมซอฟต์แวร์ อีกทั้งยังมีนโยบายให้ มธ. ศูนย์พัทยา เป็น “Green Campus” โดยมหาวิทยาลัยตระหนักถึงความสำคัญในเรื่องดังกล่าวจึงมุ่งเน้นการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainability)
เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้แก่เยาวชนทางภาคเหนือและภูมิภาคใกล้เคียงได้มีโอกาสเข้าศึกษาในระดับปริญญาบัณฑิต ซึ่งเป็นการสร้างความเข้มแข็ง ความมั่นคงทางวิชาการสู่ภูมิภาค รวมทั้งดำเนินการวิจัย พัฒนาการฝึกอบรม การถ่ายทอดเทคโนโลยีต่างๆ แก่ชุมชน และเพื่อให้นักเรียนในท้องถิ่นไม่ต้องเดินทางไปศึกษาไกลจากภูมิลำเนา สภามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จึงได้มีมติให้ดำเนินการจัดตั้งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์ลำปางขึ้น ในวันที่ 8 กรกฎาคม 2539 และได้เปิดการเรียนการสอนครั้งแรกในปีการศึกษา 2541 คือ คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ และขยายการเรียนการสอนสู่คณะสาขาวิชาอื่นๆ และระดับปริญญาโท ปัจจุบันมีคณะที่เปิดการเรียนการสอนที่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์ลำปาง ทั้งหมด 6 คณะ ได้แก่ คณะนิติศาสตร์ คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ วิทยาลัยสหวิทยาการ คณะสาธารณสุขศาสตร์ และคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในมาตรฐานที่ทัดเทียมกับมหาวิทยาลัยในกรุงเทพมหานคร
ในปี 2554 เกิดมหาอุทกภัยครั้งใหญ่ที่สร้างความเสียหายมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต จึงได้จัดตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราวเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย มีประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่โดยรอบศูนย์รังสิต รวมถึงจากจังหวัดใกล้เคียงที่เดือดร้อนมาพักพิงถึง 7,000 คน ตลอดระยะเวลาเปิดศูนย์มีอาสาสมัครที่มาร่วมแรงร่วมใจในครั้งนี้กว่า 8,000 คน และยังได้ให้ความช่วยเหลือด้านอาหาร ข้าวของเครื่องใช้จำเป็น และถุงยังชีพแก่ประชาชนในจังหวัดปทุมธานีและใกล้เคียงอีกนับหมื่นราย จากเหตุการณ์ภัยพิบัติดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงการสืบสานปณิธานและปรัชญาดั้งเดิมของมหาวิทยาลัยที่มุ่งเน้นการสร้างบัณฑิตที่มีจิตสำนึกต่อส่วนรวม และรักษาไว้ซึ่งความถูกต้องยุติธรรม
ในสายธารแห่งความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของสังคมโลก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จึงต้องปรับเปลี่ยนและพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนด้วยวิธีการแบบ Active Learning เพื่อให้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ก้าวสู่ความเป็นมหาวิทยาลัยสมบูรณ์แบบ ด้วยวิชาความรู้ที่ครบถ้วนทั้งด้านสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี อีกทั้งก้าวสู่ความเป็นสากลด้วยการเปิดหลักสูตรนานาชาติ วิทยาลัยนานาชาติหลากหลายสาขา เพื่อพร้อมรับกระแสความเปลี่ยนแปลงและความเติบโตของสังคมในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นด้านการเมือง สังคม เศรษฐกิจ หรือวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จึงมีความพร้อมที่จะเป็นมหาวิทยาลัยที่มีความก้าวหน้าทันสมัย มีความโดดเด่นด้านการวิจัย สามารถสร้างองค์ความรู้ที่จะเป็นเครื่องมือในการช่วยแก้ไขปัญหาให้แก่ประเทศชาติ รวมทั้งปัญหาของโลกในยุคใหม่โดยรวมด้วย
ในปีพ.ศ.2560 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้เตรียมความพร้อมเพื่อรองรับทิศทางการพัฒนาของประเทศด้วยแผนยุทธศาสตร์ฉบับที่ 12 ที่กำหนดเป้าหมายสู่การเป็น ‘มหาวิทยาลัยแห่งการสร้างผู้นำ’ ด้วย 5 ยุทธศาสตร์การพัฒนามหาวิทยาลัยในปี 2560 – 2564 อันได้แก่
1) การสร้างบัณฑิตที่มีคุณลักษณะ GREATS มีทักษะการเป็นผู้ประกอบการ และทักษะทางภาษาอย่างน้อย 3 ภาษา
2) การสร้างสรรค์งานวิจัยและนวัตกรรมเชิงพัฒนาต่อสังคมและโลก
3) การสร้างเครือข่ายความร่วมมือทั้งภายในและภายนอกประเทศ
4) การมุ่งเน้นคุณภาพการให้บริการวิชาการและบริการสุขภาพที่ได้มาตรฐานสากล
5) การมุ่งสู่ความมั่นคงและยั่งยืนด้วยการบริหารจัดการที่ทันสมัย ด้วยการบริหารสมัยใหม่นี้จะทำให้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ก้าวสู่การเป็นมหาวิทยาลัยแห่งการสร้างผู้นำที่ได้มาตรฐานระดับสากล
เมื่อมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ก้าวเข้าสู่ปีที่ 84 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้ตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จึงจะไม่ได้เป็นเพียงสถานศึกษาที่ทำหน้าที่ผลิตบัณฑิต สร้างงานงานวิจัยและงานวิชาการเท่านั้น แต่ยังจะดำเนินการให้เป็น “มหาวิทยาลัยแห่งการสร้างผู้นำรุ่นใหม่เพื่อสังคมไทยและนานาชาติ” (Grooming Next-Generation Leaders for Thailand and International Communities) เพื่อยกระดับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ให้เป็นที่รู้จักของประชมคมนานาชาติ
วันเวลาผ่านไป ปัจจุบันมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ยืนหยัดเคียงคู่สังคมไทยมาครบ 84 ปีแห่งการสถาปนา ทั้งยังคงยืนยันเจตนารมณ์ในการผลิต “เมล็ดพันธุ์คนธรรมศาสตร์” กอปรด้วยความรู้ความสามารถและจิตวิญญาณแห่งการรับใช้สังคม เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมโลกอย่างเต็มภาคภูมิ โดยการปลูกฝังความเป็นธรรมศาสตร์ให้เป็นผู้มีจิตสาธารณะและความรับผิดชอบต่อสังคม เพราะชาวธรรมศาสตร์ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นศิษย์เก่าหรือ ศิษย์ปัจจุบัน ต่างภาคภูมิใจที่ได้กล่าวว่า “ฉันรักธรรมศาสตร์ เพราะธรรมศาสตร์ สอนให้ฉันรักประชาชน”